วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นิราศ อิเหนา

                                                              นิราศ อิเหนา

อิเหนา หรือดาหลัง เป็นบทพระราชนิพนธ์และบทพระนิพนธ์ของเจ้านายหลายพระองค์ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ที่มีชื่อเสียงในกระบวนบทละครรำเป็นที่สุด คือบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เนื้อความเกี่ยวกับวงศ์กษัตริย์ชวา ชื่อวงศ์อสัญแดหวา ผู้สืบเชื้อสายมาจากประตาระกาหลา ที่ถือกันว่าเป็นเทพเจ้าสูงสุด เปรียบได้กับเง็กเซียนฮ่องเต้อย่างไรอย่างนั้น อิเหนาเป็นชื่อที่เราเรียกตัวเอกของเรื่อง คือระเด่นมนตรี ผู้เป็นเจ้าชายแห่งเมืองกุเรปัน เมื่อยังเด็กได้หมั้นหมายไว้กับระเด่นบุษบา เจ้าหญิงเมืองดาหา เมื่ออิเหนาเติบโตเป็นหนุ่ม ต้องไปราชกิจต่างเมือง และได้พบกับนางจินตหรา ธิดาของเจ้าระตูบ้านนอก จนได้นางเป็นชายา ความทราบถึงเมืองดาหา ท้าวดาหาโกรธนัก จึงยกนางบุษบาให้แก่ระตูจรกา ผู้รูปชั่วตัวดำแต่มีใจมั่นคงสัตย์ซื่อ ครั้นมาภายหลัง อิเหนาได้พบกับบุษบา และเกิดหลงรักนางจนสุดชีวิตจิตใจ นึกเสียดายที่ตนต้องเสียคู่หมั้นแสนสวยให้แก่ระตูรูปชั่ว อิเหนาจึงลักพาตัวนางบุษบามาไว้ยังถ้ำทอง

นิราศเรื่องนี้ ท่านสุนทรภู่จับความจากตอนที่อิเหนากลับจากไปแก้สงสัยที่เมืองดาหา แล้วกลับมาก็พบว่า บุษบาถูกลมพายุหอบพัดเอาตัวนางหายไปจากถ้ำทองเสียแล้ว อิเหนาจึงยกทัพออกติดตาม ระหว่างทางก็รำพันคร่ำครวญถึงนางผู้เป็นที่รักอยู่มิได้ขาด อิเหนาเดินทางติดตามอยู่เป็นเวลาถึงเจ็ดเดือน ก็ยังไม่พบ เนื้อเรื่องจบลงที่อิเหนาและไพร่พลออกบวช เพื่อส่งกุศลให้บุษบาที่อิเหนาคิดว่าคงตายไปแล้ว

ไม่ปรากฏว่าท่านสุนทรภู่แต่งนิราศเรื่องนี้ไว้เมื่อใด แต่คงจะแต่งถวายเจ้านายพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นแน่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานจากสำนวนกลอนว่า สุนทรภู่น่าจะแต่งเรื่องนี้ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ถวายพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ เมื่อครั้งสุนทรภู่ได้อาศัยพึ่งพระบารมีอยู่


๏ นิราศร้างห่างเหเสน่หา
ปางอิเหนาเศร้าสุดถึงบุษบา พระพายพาพัดน้องเที่ยวล่องลอย
ตะลึงเหลียวเปลี่ยวเปล่าให้เหงาหงิม สุชลปริ่มเปี่ยมเหยาะเผาะเผาะผอย
โอ้เย็นค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย น้องจะลอยลมบนไปหนใด
หรือเทวัญชั้นฟ้ามาพาน้อง ไปไว้ห้องช่องสวรรค์ที่ชั้นไหน
แม้นน้องน้อยลอยถึงชั้นตรึงส์ตรัย สหัสนัยน์จะช่วยรับประคับประคอง
หรือไปปะพระอาทิตย์พิศวาส ไปร่วมอาสน์เวชยันต์ผันผยอง
หรือเมขลาพาชวนนวลละออง เที่ยวลอยล่องเลียบฟ้าชมสาคร
หรือไปริมหิมพานต์ชานไกรลาส บริเวณเมรุมาศราชสิงขร
โอ้ลมแดงแสงแดดจะแผดส่อง จะมัวหมองมิ่งขวัญจะหวั่นไหว
จะดั้นหมอกออกเมฆวิเวกใจ นี่เวรใดเด็ดสวาทให้คลาดคลาฯ

๏ พระผันแปรแลรอบขอบทวีป เห็นแต่กลีบเมฆเคลื่อนเกลื่อนเวหา
จะแลดูสุริยนก็สนธยา จะดูฟ้าฟ้าคล้ำให้รำจวน
ฝืนวิโยคโศกเศร้าเข้าในห้อง เห็นแท่นทองที่ประทมภิรมย์สงวน
ไม่เห็นนุชสุดจะทรงพระองค์ซวน ละห้อยหวนหิวโหยด้วยโรยแรง
ยลยี่ภู่ปูเปล่าเศร้าสลด ระทวยทดทอดทบซบกันแสง
โอ้สุดแสนแค้นอารมณ์ด้วยลมแดง ดูเหมือนแกล้งพัดไปให้ไกลทรวง
เสียดายเอ๋ยเคยแอบแนบสนิท ถึงชีวิตวอดวายไม่หายห่วง
โอ้น้องนุชบุษบาสุดาดวง พี่เปล่าทรวงทรวงดังจะพังโทรมฯ

๏ โอ้โพล้เพล้เวลาปานฉะนี้ เคยเข้าที่พี่เคยได้เชยโฉม
เห็นแต่ห้องน้องน้อยลอยโพยม ยามประโลมมิรู้ลืมเจ้าปลื้มใจ
โอ้เขนยเคยหนุนยังอุ่นอ่อน แต่น้องน้อยลอยร่อนไปนอนไหน
ยี่ภู่เอ๋ยเคยชิดสนิทใน วันนี้ไกลกลอยสวาทอนาถนอน
โอ้รินรินกลิ่นนวลยังหวนหอม เคยถนอมแนบทรวงดวงสมร
ยังรื่นรื่นชื่นใจอาลัยวอน สะอื้นอ้อนอ่อนอารมณ์ระทมทวี
จนฆ้องค่ำย่ำหึ่งหึ่งกระหึม ยิ่งเศร้าซึมโศกาถึงยาหยี
โอ้ยามอยู่คูหาเวลานี้ เคยพาทีทอดประทับไว้กับทรวงฯ

๏ โอ้อกเอ๋ยเคยอุ่นละมุนละม่อม เคยโอบอ้อมอ่อนตามไม่ห้ามหวง
ยังเคลิ้มเคล้นเช่นปทุมกระพุ่มพวง เคยแนบทรวงไสยาสน์ไม่คลาดคลาย
จนเคลิ้มองค์หลงเชยเขนยหนุน ถนอมอุ่นแอบประโลมว่าโฉมฉาย
ครั้นรู้สึกดึกดื่นสะอื้นอาย แสนเสียดายสุดจะดิ้นสิ้นชีวัน
เห็นสิ่งของน้องนุชยิ่งสุดเศร้า พระทัยเฝ้าเคลิ้มไคล้ดังใฝ่ฝัน
ยิ่งรำลึกตรึกตรายิ่งจาบัลย์ สุดจะกลั้นรีบออกนอกบรรพตฯ

๏ พินิจจันทร์วันเพ็งขึ้นเปล่งแสง กระจ่างแจ้งแจ่มวงทั้งทรงกลด
สี่พี่เลี้ยงเคียงพร้อมน้อมประณต พระเลี้ยวลดแลแสวงดูแสงเดือน
ดูเก๋งก่อต่อเตาเห็นเงาคล้าย เขม้นหมายมุ่งไปก็ไม่เหมือน
เห็นเงาไม้ไหวหวั่นให้ฟั่นเฟือน จนเดือนเคลื่อนคล้อยฟ้าให้อาวรณ์
เห็นสระศรีที่เคยมาประพาส ระดะดาษดอกดวงบัวหลวงสลอน
ลมรำเพยเชยชายกระจายจร หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นโรยฯ

๏ โอ้รินรินกลิ่นบุหงาสะตาหมัน เหมือนกลิ่นจันทน์เจือนวลให้หวนโหย
หอมยี่หุบสุกรมดอกยมโดย พระพายโชยเฉื่อยชื่นยืนตะลึง
โอ้ที่นี่ศีลาเคยมานั่ง เห็นบัลลังก์แล้วยิ่งนึกรำลึกถึง
ดูเงื้อมเขาเงาไม้พระไทรซึ้ง เสียงหึ่งหึ่งผึ้งรวงเฝ้าหวงรัง
จังหรีดหริ่งกิ่งไทรเรไรร้อง แว่วว่าน้องนึกเสียวพระเหลียวหลัง
เห็นน้ำพุดุดั้นตรงบัลลังก์ เคยมานั่งสรงชลที่บนเตียง
เจ้าสรงด้วยช่วยพี่สีขนอง แต่น้ำต้องถูกนิดก็หวีดเสียง
โอ้รื่นรื่นชื่นเชยที่เคยเคียง พระทรวงเพียงเผ่าร้อนถอนฤทัย
ทุกเงื้อมเขาเหงาเงียบเซียบสงัด ใบไม้กวัดแกว่งกิ่งประวิงไหว
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าพนาลัย ยิ่งเยือกในทรวงช้ำระยำเย็น
เที่ยวรอบสระปทุมาสะตาหมัน เคยเห็นขวัญเนตรที่ไหนก็ไม่เห็น
ชลนัยน์ไหลซกตกกระเซ็น ยิ่งเยือกเย็นหยุดยืนกลืนน้ำตา
จนดึกดื่นรื่นรินกลิ่นกุหลาบ ตะลึงเหลียวเสียวซาบอาบนาสา
เหมือนปรางทองน้องนุชบุษบา หรือกลับมายืนแฝงอยู่แห่งใด
เที่ยวดูดาวเปล่าเปลี่ยวเสียวสะดุ้ง จนจวนรุ่งรางรางสว่างไสว
หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพร ดวงดอกไม้บานแบ่งรับแสงทอง
หอมมณฑาสารภีดอกยี่หุบ บ้างร่วงหรุบถูกอุระพระขนอง
ภุมรินบินว่อนมาร่อนร้อง อาบละอองเกสรขจรจายฯ

๏ จนแจ่มแจ้งแสงสว่างนภางค์พื้น ถอนสะอื้นอาลัยพระทัยหาย
ดูเวหาว่าแสนแค้นพระพาย ไม่พาสายสวาทคืนมาชื่นใจ
จำจะตามทรามชมทางลมพัด เผื่อจะพลัดตกลงที่ตรงไหน
ดำริพลางทางสะท้อนถอนฤทัย ให้เตรียมพลสกลไกรจะไคลคลา
จึงแปลงนามตามกันเป็นปันจุเหร็จ จะเที่ยวเตร็ดเตร่ในไพรพฤกษา
พลางอุ้มองค์ยาหยีวิยะดา ขึ้นรถแก้วแววฟ้าแล้วพาไปฯ

๏ พระเหลียวดูภูผาสะตาหมัน ที่สำคัญคูหาเคยอาศัย
จะแลลับนับปีแต่นี้ไป จะมิได้มาเห็นเหมือนเช่นเคย
เสียแรงแต่งแปลงสร้างจะร้างเริด ค่อยอยู่เถิดแผ่นผาคูหาเอ๋ย
โอ้มิ่งไม้ไพรพนมเคยชมเชย จะแลเลยลับแล้วทุกแนวเนินฯ

๏ โอ้นกเอ๋ยเคยพากันมาจับ จะแลลับฝูงนกระหกระเหิน
โอ้เขาสูงฝูงหงส์เคยลงเดิน เคยเพลิดเพลินพิศวงด้วยหงส์ทอง
จะเริดร้างห่างหงส์ไปดงอื่น ทุกวันคืนค่ำเช้าจะเศร้าหมอง
โอ้ก้านกิ่งมิ่งไม้เรไรร้อง ประสานซ้องเสียงดังดูวังเวง
ได้เคยฟังครั้งนี้มาวิบาก ต้องพลัดพรากเพราะว่าลมทำข่มเหง
แม้นพบเห็นเป็นตัวไม่กลัวเกรง จะรำเพลงกริชผลาญสังหารลม
นี่จนใจไม่เห็นด้วยเป็นเคราะห์ มาจำเพาะพลัดคู่เคยสู่สม
ยิ่งสุดแสนแค้นขัดอัดอารมณ์ จะแลชมอื่นอื่นไม่ชื่นใจ
แต่จำเป็นเกนหลงมาดงด้วย ต้องชี้ช่วยชมผาพฤกษาไสว
กรดกระถินอินจันพรรณไม้ มีดอกใบก้านกิ่งขึ้นพริ้งเพรียว
บ้างแก่อ่อนซ้อนซับสลับสล้าง บ้างสดสร่างสีชุ่มชอุ่มเขียว
ที่ตายตอหน่อหนุนขึ้นรุ่นเรียว เถาวัลย์เกี่ยวกอดกิ่งเหมือนชิงช้าฯ

๏ พระชวนพลอดกอดน้องประคองอุ้ม ให้ชมเพลินเดินมะงุมมะงาหรา
ป่าประเทศเขตแคว้นแดนชวา อินทะผาลัมชุมสลุมพัน
โกฐสดำจำปาดะดงองุ่น สหัสคุณขึ้นระคนปนปาหนัน
สลาสล้างนางแย้มเข้าแกมกัน หญ้าฝรั่นฝรั่งเรียงขึ้นเคียงดง
โกฐกระวานกานพลูดูระบัด กำจายกำจัดสารพันต้นตันหยง
หอมระรื่นชื่นใจที่ในดง พฤกษาทรงเสาวคนธ์ดังปนปรุง
ที่พื้นปราบราบรายล้วนทรายอ่อน เข้าดงดอนเลียบเดินเนินกุหนุง
เทียนยี่หร่าป่าฝิ่นส่งกลิ่นฟุ้ง สมส้มกุ้งโกฐจุฬาการบูรฯ

๏ คิดถึงนุชบุษบานิจจาเอ๋ย มิได้เชยชมสบายมาหายสูญ
ยิ่งโศกเสียวเหลียวหาให้อาดูร ยิ่งเพิ่มพูนพิศวงในดงแดน
ดูเล็บนางนึกถึงนางเหมือนอย่างเล็บ เคยข่วนเจ็บรอยมีอยู่ที่แขน
เห็นนมนางกลางพนมนึกชมแทน ละม้ายแม้นเหมือนเหมือนจะเยื้อนยิ้ม
มะปรางต้นผลอย่างพระปรางน้อง น้ำเนตรคลองคลอคล้อยย้อยหยิมหยิม
ฝืนอารมณ์ชมพลับต้นทับทิม ขึ้นรอบริมหว่างเขาลำเนาเนินฯ

๏ พนมมาศลาดเลี่ยนเตียนตลิบ บ้างสูงลิบลอยแหงนเป็นแผ่นเผิน
บ้างทะมึนทึนเทิ่งเป็นเชิงเทิน เป็นกรอกเกริ่นโกรกกรวยลำห้วยธาร
เสียงสินธุดุดั้นลั่นพิลึก สะท้านสะทึกโถมฟาดฉาดฉาดฉาน
ที่น้ำโจนโผนพังดังสะท้าน บ้างพุซ่านสาดสายสุหร่ายริน
คะนึงถึงนุชบุษบาแม้นมาเห็น จะลงเล่นลำธารละหานหิน
ฝูงปลาทองท่องไล่เล็มไคลกิน กระดิกดิ้นดูงามตามกระบวน
ปลาเนื้ออ่อนอ่อนกายขึ้นว่ายเกลื่อน ไม่อ่อนเหมือนเนื้อน้องประคองสงวน
ปลานวลจันทร์นั้นก็งามแต่นามนวล ไม่งามชวนชื่นเช่นระเด่นดวง
พลางรีบทัพขับรถกำหนดแสวง ทุกหล้าแหล่งลำเนาภูเขาหลวง
ไม่ประสบพบเห็นให้เย็นทรวง ให้เหงาง่วงเงียบเหงาเศร้าพระทัย
ถึงพลมากจากมิตรแต่จิตเปลี่ยว เหมือนมาเดียวดั่งจะพาน้ำตาไหล
เห็นนกหกผกโผนโจนจับไม้ บ้างฟุบไซ้ปีกหางต่างต่างกัน
นกกระตั้วคลัวเคลียตัวเมียป้อน เหมือนขวัญอ่อนแอบประทับพี่รับขวัญ
ป้อนสลาพาชื่นทุกคืนวัน มาจากกันกรรมเอ๋ยไม่เคยเป็น
เห็นนกเปล้าเคล้าคู่เข้าชูชื่น ถอนสะอื้นเหมือนไม่พอใจเห็น
พอเวลาสายัณห์ตะวันเย็น นกยูงเล่นลมเพลินบนเนินเตียน
บ้างเยื้องอกหกหางก้อกางปีก แฉลกฉลีกเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน
บ้างย่างย่องจ้องประจงที่วงเวียน ออกกลางเตียนตีนขวิดดูกรีดกรายฯ

๏ คิดถึงไปใช้บนได้ยลสมร เมื่อทอดกรฟ้อนรำระบำถวาย
โอ้อาภัพลับนุชสุดเสียดาย สะอื้นอายมยุราให้อาวรณ์
เห็นเขาเขียวเดี่ยวโดดล้วนโสดสูง แต่ล้วนฝูงหงส์จับสลับสลอน
หงส์ก็งามตามอย่างเพราะหางงอน เป็นคู่ป้อนปกปิดกันชิดชม
อรหันนั้นหน้าเหมือนมนุษย์ ปีกเหมือนครุฑครีบเท้ามีเผ้าผม
พวกม่าเหมี่ยวเที่ยวเดินเนินพนม ลูกเล็กล้มลากจูงเหมือนฝูงคน
เหล่าละเมาะเงาะป่าคุลาอยู่ เที่ยวกินปูเปี้ยวป่าผลาผล
สิงโตตื่นยืนหยัดสะบัดตน เห็นผู้คนโผนข้ามลำเนาเนิน
ฝูงมฤคถึกเถื่อนเที่ยวเกลื่อนกลุ้ม เป็นคู่คุมเคียงนางไม่ห่างเหิน
เห็นกวางทองย่องเยื้องชำเลืองเดิน เหมือนน้องเชิญพานผ้าประหม่าเมียง
พี่เข้าด้วยช่วยประคองพระน้องนุช สงสารสุดสุดสวาทไม่อาจเถียง
โอ้ยามนี้มิได้น้องประคองเคียง พี่ก็เสี่ยงบุญตามเจ้าทรามเชย
เป็นกุศลหนหลังเราทั้งสอง คงได้น้องคืนมาเรียงเคียงเขนย
แม้นกรรมหนุนบุญน้อยจะลอยเลย มิได้เชยบุษบาพะงางอนฯ

๏ พระครวญคร่ำร่ำไรมาในรถ โศกกำสรดแสนเสียดายสายสมร
พอเวลาสายัณห์ตะวันรอน ปักษาร่อนรีบกลับมาจับรัง
โอ้นกเอ๋ยเคยอยู่มาสู่ถิ่น แต่ยุพินลิบลับไม่กลับหลัง
ครั้นแลดูสุริย์แสงก็แดงดัง หนึ่งน้ำครั่งคล้ำฟ้านภาลัย
เหมือนครั้งนี้พี่มาโศกแสนเทวษ ชลเนตรแดงเดือดดังเลือดไหล
โอ้ตะวันครั้นจะลบภพไตร ก็อาลัยโลกยังหยุดรั้งรอ
ประหลาดนักรักเอ๋ยมาเลยลับ เหมือนเพลิงดับเด็ดเดี่ยวไปเจียวหนอ
ชลนัยน์ไหลหลั่งลงคลั่งคลอ ยิ่งเย็นย่อเสียวทรวงให้ร่วงโรย
ชะนีน้อยห้อยไม้เรไรร้อง เสียงแซ่ซ้องเริ่มรัวเรียกผัวโหวย
เหมือนอกพี่ที่ถวิลให้ดิ้นโดย ละห้อยโหยหานางมากลางไพรฯ

๏ พระสุริยงลงลับพยับค่ำ ถึงแนวน้ำเนินผาพฤกษาไสว
หยุดสำนักพักพลสกลไกร พระเนาในรถทองกับน้องยา
ถนอมแนบแอบองค์หลงหนึ่งหรัด ให้บรรทมโสมนัสในรัถา
ต้องจากวังครั้งนี้เพราะพี่พา พระน้องมาอ้างว้างวังเวงใจ
นอนเถิดหนายาหยีพี่จะกล่อม งามละม่อมมิ่งขวัญอย่าหวั่นไหว
คิรีรอบขอบเคียงเหมือนเวียงชัย อยู่ร่มไม้เหมือนปราสาทราชวัง
เคยสำเนียงเสียงนางสุรางค์เห่ มาฟังเรไรแซ่เหมือนแตรสังข์
เคยมีวิสูตรรูดกั้นบนบัลลังก์ มากำบังใบไม้ในไพรวัน
หนาวน้ำค้างกลางคืนสะอื้นอ้อน จะกางกรกอดน้องประคองขวัญ
เอาดวงดาราระยับกับพระจันทร์ ต่างช่อชั้นชวาลาระย้าย้อย
จักจั่นหวั่นแว่วแจ้วแจ้วเสียง ต่างสำเนียงขับครวญหวนละห้อย
พระพายเอ๋ยเชยมาต้องพระน้องน้อย เหมือนนางคอยหมอบกรานอยู่งานพัด
โอ้เวลาปานฉะนี้เจ้าพี่เอ๋ย กระไรเลยแลเงียบเชียบสงัด
น้ำค้างเผาะเหยาะเย็นกระเซ็นซัด ดึกสงัดดวงจิตจงนิทรา
พระขวัญเอ๋ยเคยนอนอย่าร่อนเร่ ไปว้าเหว่หว่างไม้ไพรพฤกษา
ขวัญมาอยู่สู่ที่พระพี่ยา พระมารดาบิตุเรศนิเวศน์เวียง
พระขวัญเอ๋ยเคยแอบแนบถนอม มาฟังกล่อมกลอนเพราะเสนาะเสียง
โอ้แรมล่วงดวงเดือนก็เลื่อนเอียง พี่พิศเพียงพักตร์แฝงพลิกแพลงบัง
บุษบายาหยีเจ้าพี่เอ๋ย ช่างลอยเลยลิบลับไม่กลับหลัง
เมื่ออุ้มออกนอกเขตนิเวศน์วัง พระน้องนั่งรถทรงที่ตรงริม
พี่หยอกเย้าเซ้าซี้มีแต่โกรธ สะอื้นโอษฐ์โอษฐ์เอี่ยมเสงี่ยมหงิม
อยู่ใกล้เคียงเพี้ยงเอ๋ยได้เชยชิม ถนอมนิ่มเนื้อน่วมร่วมฤทัย
พระครวญคร่ำรำลึกจนดึกเงียบ เย็นระเยียบหย่อมหญ้าพฤกษาไสว
สงบเสียงสิงสัตว์สงัดไพร ทุกกอกิ่งมิ่งไม้พระไทรครึ้ม
สุมามาลย์บานกลิ่นระรินรื่น ในเที่ยงคืนเสียงแต่ผึ้งหึ่งระหึม
ผีพระไทรไม้พุ่มงุมงุมงึม โขมดพึมผิวกู่หวิวหวู่โวย
เหล่ามารยาป่าโป่งเที่ยวโทงเถื่อน ตะโกนเพื่อนเพิกเสียงสำเนียงโหย
น้ำค้างพรมลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยโชย ยิ่งดิ้นโดยเดือนดับไม่หลับเลย
จนทรวงเจ็บเหน็บแน่นแหงนดูฟ้า องค์ประตาระกาหลาเจ้าข้าเอ๋ย
พระน้องนุชบุษบาเจ้าข้าเคย เป็นคู่เชยชมชื่นให้คืนมา
ทั้งโกสีย์ตรีเนตรเห็นเหตุสิ้น ว่ายุพินอยู่ที่ไหนนำไปหา
หาไม่ฉันวานแต่พระสุชาดา ช่วยอุ้มพามาให้พบประสบกัน
ทั้งพรหมานวานแต่พาหนะหงส์ จะได้ทรงเหาะแสวงทุกแห่งสวรรค์
แม้นได้นุชบุษบาวิลาวัณย์ จะทำขวัญหงส์พรหมให้สมยศฯ

๏ จนพลบค่ำรำลึกนึกอนาถ ไม่ไสยาสน์ยามวิโยคโศกกำสรด
จนแจ่มแจ้งแสงตะวันให้รันทด ให้ยกทัพขับรถเลี้ยวลดเดิน
ทุกแว่นแคว้นแดนชวาสุธาทวีป เที่ยวเร็วรีบรอบเกาะดังเหาะเหิน
ไม่พบเห็นเป็นเคราะห์จำเพาะเผอิญ ไปจนเกินมะละกาพารารายฯ

๏ เมืองระตูรู้ทั่วกลัวอำนาจ ต่างแต่งราชธิดามาถวาย
ไม่ไยดีอีนังแต่ซังตาย แม้นแก้วหายได้ปัดไม่ทัดเทียม
แม้นมิเหมือนเพื่อนเชยที่เคยชิด ไม่ขอคิดนึกหน่ายละอายเหนียม
แต่ปราศรัยไต่ถามตามธรรมเนียม ไม่และเลียมเลยแสวงทุกแห่งไปฯ

๏ ถึงเจ็ดเดือนเคลื่อนคลาดประหลาดแล้ว ไม่พบแก้วกลอยจิตพิสมัย
จนพระรูปซูบผอมเพราะตรอมใจ ทั้งนายไพร่พลนิกรอ่อนกำลัง
จนถึงทางร่วมที่บุรีรัตน์ ที่จะตัดมรคาไปกาหลัง
เห็นเขาเขินเนินร่มพนมวัง ต้นดงรังครึกครื้นระรื่นเย็น
ที่ธารถ้ำน้ำพุทะลุลั่น เป็นช่องชั้นบัลลังก์น่านั่งเล่น
ผลาผลหล่นกลาดดาษกระเด็น ดอกไม้เป็นดอกพร้อมหอมรัญจวน
จะใคร่บวชสวดมนต์อยู่บนเขา เพราะแสนเศร้าสุดจะตามทรามสงวน
แม้นมิตามความรักเฝ้าชักชวน ให้ปั่นป่วนไปตามเพราะความรัก
จะหักอื่นขืนหักก็จักได้ หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก
สารพัดตัดขาดประหลาดนัก แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ
จะสร้างพรตอดรักหักสวาท เผื่อจะขาดข้อคิดพิสมัย
แม้นน้องนุชบุษบานิคาลัย จะได้ไปสู่สวรรค์ชั้นโสฬส
จึงหยุดทัพยับยั้งตั้งอาศรม รักษาพรหมจรรย์ด้วยกันหมด
ปะตาปาอายันอยู่บรรพต อุตส่าห์อดอาลัยก็ไม่คลาย
ภาวนาว่าจะตั้งปลงสังเวช ก็หลับเนตรเห็นคู่ไม่รู้หาย
จะสวดมนต์ต้นถูกถึงผูกปลาย ก็กลับกลายเรื่องราวเป็นกล่าวกลอนฯ

๏ คิดถึงนุชบุษบาออกมานั่ง บนบัลลังก์เหลี่ยมผาหน้าสิงขร
พระตรวจน้ำร่ำว่าด้วยอาวรณ์ หวังสมรเหมือนจะคลาดในชาตินี้
จะอุตส่าห์ปะตาปารักษากิจ อวยอุทิศผลผลาถึงยาหยี
จะเกิดไหนในจังหวัดปัถพี ให้เหมือนปี่กับขลุ่ยต้องทำนองกัน
เป็นจีนจามพราหมณ์ฝรั่งแลอังกฤษ ให้สนิทเสน่หาตุนาหงัน
แม้นเป็นไทยให้เป็นวงศ์ร่วมพงศ์พันธุ์ พอโสกันต์ให้ได้อยู่เป็นคู่ครอง
ครั้นกรวดน้ำสำเร็จเสด็จกลับ เข้าห้องหับโหยไห้พระทัยหมอง
ทุกเช้าค่ำรำลึกเฝ้าตรึกตรอง จนขาดครองคราวสวาทนิราศเอยฯ

ขอบพระคุณ

นางในวรรณคดี เรื่องอิเหนา

นางบุษบาเป็นธิดาของท้าวดาหาและประไหมสุหรีดาหราวาตี แห่งกรุงดาหา เมื่อตอนประสูติมีเหตุอัศจรรย์คือ มีกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งวัง ดนตรี แตรสังข์ก็ดังขึ้นเองโดยไม่มีผู้บรรเลง ประสูติได้ไม่นาน ท้าวกุเรปันก็ขอตุนาหงันให้กับอิเหนา บุษบาเป็นหญิงที่งามล้ำเลิศกว่านางใดในแผ่นดินชวากิริยามารยาทเรียบร้อย คารมคมคาย เฉลียวฉลาดทันคนใจกว้างและ
มีเหตุผล จึงผูกใจให้อิเหนารักใคร่ใหลหลงนางยิ่งกว่าหญิงอื่น นอกจากนั้นบุษบายังเป็นลูกที่ดีอยู่ในโอวาทของพระบิดา พระมารดา ยอมแต่งงานกับระตูจรกา แม้ว่าจะไม่พอใจในความขี้ริ้วขี้เหร่ของระตูจรกาก็ตาม นางถูกเทวดาบรรพบุรุษ ของวงค์อสัญแดหวาคือ องค์ปะตาระกาหลาบันดาลให้ลมพายุหอบไป ทำให้นางต้องพลัดพรากจากอิเหนา และพระบิดาพระมารดาเป็นเวลาหลายปี กว่าจะได้พบอิเหนาและวิวาห์กัน โดยนางได้ตำแหน่งเป็นประไหมสุหรีฝ่ายซ้าย
ลักษณะนิสัย
1. บุษบาเป็นหญิงที่มาแบบฉบับของลูกที่ดีอยู่ในโอวาทของพ่อแม่ แม้ว่านางจะไม่พอใจในรูปร่างของจรกา แต่นางก็ยอมที่จะไม่ทำตามใจตนเองเพื่อรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล
2. เป็นคนไม่เจ้ายศเจ้าอย่างหรือถือว่าตนสูงศักดิ์กว่านางจินตะหรา เห็นได้จากตอนที่จินตะหราได้ให้นางสการะวาตีและนางมาหยารัศมีมาเฝ้า บุษบาก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
3. เป็นคนไม่เหลาะแหละ รู้จักโต้เถียงแสดงความฉลาดรู้ทัน
อิเหนาและรักษาเกียรติของตนเองไม่ยอม หลงเชื่ออย่างง่ายๆ ในตอนที่อิเหนาพูดว่า
" อันนางจินตะหราวาตี ใช่พี่จะมุ่งมาดปรารถนา
หากเขาก่อก่อนอ่อนมา ใจพี่พาลาก็งวยงง……"
จากที่
อิเหนาพูดนี้ก็ทำให้นางบุษบารู้ว่าอิเหนาเจรจาเข้าข้างตัวเอง นางก็โต้ตอบว่าอย่ามาแกล้งพูดเลยว่าจะไม่เลี้ยงนางจินตะหราวาตี เพราะมีลายลักษณ์อักษรและใครๆก็รู้กันทั่วว่าอิเหนาไม่ต้องการนาง นางจึงโต้ตอบ เมื่ออิเหนาแก้ตัวว่าที่ลักนางมาก็ด้วยความรักว่า
" จะให้เชื่อพจมานหวานถ้อย จะได้ไปเป็นน้อยชาวหมันหยา
เขาจะเชิดชื่อฤาชา ว่ารักสามีท่านกว่าความอาย
อันความอัปยศอดสู จะติดตัวชั่วอยู่ไม่รู้หาย
ร้อนใจอะไรเล่าเจ้าเป็นชาย ไม่เจ็บอายขายหน้าก็ว่าไป "
และตอนที่ นางบวชเป็นแอหนัง (ชี ) แลัวถูกปันหยีขโมยกริชไป นางก็คร่ำครวญต่อว่าพี่เลี้ยงด้วยความรักเกียรติสตรีว่า
" พี่แกล้งเป็นใจด้วยปันหยี เห็นคนอื่นดียิ่งกว่าข้า
ในถ้อยคำที่ร่ำพรรณนา ว่าแสนเสน่หา
อิเหนานัก
เป็นไฉนจึงยกน้องให้ แก่ชาวไพร่ต่ำช้าบรรดาศักดิ์
กระนี้ฤาพี่เรียกว่ารัก พึ่งจะประจักษ์ในน้ำใจ
สู้ตายชายอื่นมิให้ต้อง อันจะมีผัวสองอย่าสงสัย
ถึงมาตรแม้นชีวันจะบรรลัย จะตายในความซื่อสัตยา"
4. เป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองแม้ว่านางจะตกอยู่ในสภาพที่ถูกบังคับ โดยนางไม่ยอมทำตามผู้ใหญ่ ดังตอนที่ท้าวดาหามีดำรัสให้ขึ้นมา
เข้าเฝ้าอิเหนา นางรู้ว่าจะให้ไปไหว้จึงเข้าไปนอนด้วยความเคืองไม่เข้าเฝ้าตามรับสั่ง จนเดือดร้อนถึงมะเดหวีต้องมาจัดการ แต่นางก็ไม่ออกมาโดยดีๆ ต้องผลักไสกัน
5. มีความซื่อสัตย์ ได้รักษาตัวไว้รอคอย
อิเหนา ดังกลอนว่า
" ถึงมาตรสู้ตายชายอื่นมิให้ต้อง อันจะมีผัวสองอย่าสงสัย
แม้นชีวันจะบรรลัย จะตายในความซื่อสัตยา"
6. ไม่มีจริตแง่งอน เมื่อ
อิเหนาลักพานางไปไว้ในถ้ำ ก็ยินยอมแต่โดยดี
7. เมื่อเป็นชาย คือ มิสาอุณากรรณ ก็ปฏิบัติตนกับระตูประมอตันอย่างบิดาของตน
8. มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เช่น ระตูประมอตัน
9. มีความกล้าหาญจนมีระตูมาขอเป็นเมืองขึ้นหลายเมือง
10. ไม่มีความริษยาถือโกรธผู้ใด มีน้ำใจ เมื่อมารดาให้ไหว้นางจินตะหรา บุษบาก็ยอมตาม ดังที่นางกล่าวกับ
อิเหนาว่า
" แม้นน้องรักทักท้วงหวงหึง พระองค์จึงห้ำหั่นเกศา
เป็นถ้อยยำคำมั่นน้องสัญญา เชิญเสด็จเชษฐารีบคลาไคล"
และนางยอมให้
อิเหนายกจินตะหราเป็นประไหมสุหรีฝ่ายขวาแต่โดยดี ด้วยเห็นว่านางจินตะหราเป็นผู้มาก่อน แม้ว่าจินตะหราจะไม่ใช่วงศ์เทวัญฯ ข้อนี้ยากที่จะหาหญิงใดเสมอเหมือน นับว่าบุษบาเป็นหญิงไทยในวรรณคดีที่สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติคนหนึ่ง